จริยศาสตร์ของคาร์ล มาร์กซ์
1. บทนำ
จริยศาสตร์ (Ethics) หมายถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยศีลธรรม หลักศีลธรรม กฎที่ว่าด้วยความประพฤติและพฤติกรรม (วศิน อินทสระ, 2518, น. 2) คำว่าศีลธรรมนี้บางครั้งก็ใช้คำว่าจริยธรรมแทน ดังที่ปรากฏในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ที่นิยามคำ “จริยธรรม” ว่า “ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ, ศีลธรรม, กฎศีลธรรม” ดังนั้น บางทีจึงมีผู้เรียกจริยศาสตร์ว่า จริยปรัชญาหรือปรัชญาจริยธรรม (Moral Philosophy)
จริยศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่ศึกษาถึงประเด็นปัญหาอันหลากหลาย เช่น อะไรคือสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรแสวงหาและยึดถือ เราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์ เป็นต้น
โดยทั่วไปจริยศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือจริยศาสตร์หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยศีลธรรมระดับปัจเจกบุคคล (Personal Ethics) และจริยศาสตร์หรือศาสตร์ที่ว่าด้วยศีลธรรมระดับสังคม (Social Ethics) กล่าวคือ จริยศาสตร์ระดับปัจเจกบุคคลเป็นการศึกษาเกี่ยวกับศีลธรรม หลักศีลธรรม กฎที่ว่าด้วยความประพฤติ ตลอดจนเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าจริยะในระดับปัจเจกบุคคลเพื่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเฉพาะตัวปัจเจกบุคคลเอง ส่วนจริยศาสตร์สังคมเป็นการศึกษาเกี่ยวกับศีลธรรม หลักศีลธรรม กฎที่ว่าด้วยความประพฤติ ตลอดจนเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าจริยะที่วางไว้ให้สมาชิกในสังคมพึงปฏิบัติเพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง มีความเจริญก้าวหน้าและสมาชิกในสังคมมีความสุข
แนวคิดหรือทฤษฎีจริยศาสตร์สังคมจึงเกี่ยวข้องกับความประพฤติของมนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมที่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะ จริยศาสตร์สังคมเป็นเรื่องในระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ตัวอย่างแนวคิดจริยศาสตร์สังคมที่เด่นชัด เช่น จริยศาสตร์สังคมในพุทธจริยศาสตร์อันเป็นเรื่องในระดับโลกิยธรรม แม้ว่าจะเป็นธรรมในระดับโลกิยะแต่เป็นคุณค่าที่คนในสังคมพึงยึดถือเพราะเป็นแนวทางที่ทำให้ชีวิตเป็นทุกข์น้อยลง เนื่องจากเป็นหลักธรรมที่คนในฐานะเป็นหน่วยสังคมควรยึดปฏิบัติเพื่อให้เหมาะแก่ฐานะของตนในสังคม ฐานะนี้อาจเป็นฐานะทางสังคมธรรมดา เช่น เป็นพ่อแม่ ญาติ ครู อาจารย์ ตัวอย่างเช่น หลักทิศ 6 ที่กล่าวถึงการกำหนดการกระทำและการตอบแทนทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายให้หรือเป็นฝ่ายรับเพียงอย่างเดียว เป็นการยึดหลักสิทธิและหน้าที่อย่างแท้จริง (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2520, น. 111) ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของทุกๆ สังคมที่ต้องการให้มนุษย์มีความเท่าเทียมกันทางสิทธิเสรีภาพ โดยปราศจากความทุกข์ มีความสุขร่วมกันและเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ อย่างแท้จริง ปัญหาทางจริยศาสตร์สังคมจึงถือเป็นปัญหาของทุกคน และนักคิดนักปรัชญาที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในสังคมและนำเสนอแนวคิค หลักการ วิธีประพฤติปฏิบัติต่อกันของคนในสังคมก็ควรนับเป็นนักจริยศาสตร์สังคมด้วย หนึ่งในนักปรัชญาที่ควรถือได้ว่ามีแนวคิดจริยศาสตร์สังคมและมีอิทธิพลต่อนักคิดอื่นๆมากที่สุดคนหนึ่งได้แก่ คาร์ล มาร์กซ์ นักปรัชญาชาวเยอรมันเชื้อสายยิว
คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1818 และถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1883 คาร์ล มาร์กซ์มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมรุ่งเรือง แม้อุตสาหกรรมจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นกรรมกรผู้ยากแค้นและมีชีวิตอยู่อย่างไร้คุณภาพ ถูกปฏิเสธราวกับเป็นสัตว์หรือเป็นชิ้นส่วนของเครื่องจักร คาร์ล มาร์กซ์ได้เห็นถึงปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของชนชั้นกรรมาชีพโดยชนชั้นนายทุนว่าเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ซึ่งก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังคำกล่าวของคาร์ล มาร์กซ์ (2549) ที่ว่า
ชีวิตที่เด่นอย่างเดียวของนายทุนก็คือการเพิ่มทวีของมูลค่า พยายามขูดรีดมูลค่าส่วนเกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในร่างของกรรมกรรับจ้าง ขอเพียงแต่มีเนื้อก้อนหนึ่ง, เอ็นเส้นหนึ่ง, เลือดหยดหนึ่งเท่านั้นแหละ มันจะไม่ยอมปล่อยมือ ทุนเป็นแรงงานที่ตายเหมือนกับผีดิบที่กินเลือดคน มันจึงต้องดูดเอาแรงงานที่มีชีวิต จึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ โดยดูดได้มากเท่าไหร่ ชีวิตของมันก็ยิ่งจะมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น (แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์, น. 142)
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพนั้นปรากฏช่องว่างของความแตกต่างที่กว้างมาก นายทุนผู้ร่ำรวย สุขสบายอยู่บนการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกรรมกร ทั้งชั่วโมงการทำงานที่เกินกำลัง ค่าตอบแทนที่พอประทังชีวิต ความเป็นอยู่ที่แออัด เป็นต้น ความต่างที่เห็นได้ชัดนี้ไม่เป็นธรรมสำหรับ ชนชั้นกรรมาชีพ คาร์ล มาร์กซ์จึงได้เสนอแนวคิดเพื่อให้สังคมเกิดความเท่าเทียมกันโดยการสลายชนชั้นระหว่างกรรมกรกับนายทุนด้วยวิธีการต่างๆ กล่าวได้ว่าสำหรับคาร์ล มาร์กซ์นั้น ความเท่าเทียมกันของคนในสังคมเป็นความยุติธรรม และเกณฑ์ที่ทำให้เกิดความยุติธรรมดังกล่าวคือ ความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางรายได้ ด้วยเหตุนี้ระบบมาร์กซิสต์จึงเน้นความยุติธรรมที่ความเท่าเทียมกันในแง่เศรษฐกิจ ให้ทุกคนมีรายได้เท่าเทียมกัน แต่เนื่องจากระบบมาร์กซิสต์ไม่เห็นด้วยกับการมีทรัพย์สินส่วนตัว (Private Property) จึงตัดปัญหาเรื่องรายได้ออกไป เขาเห็นว่า “ระบบทรัพย์สินส่วนตัวเป็นพื้นฐานของระบบทุนนิยม ทรัพย์สินส่วนตัวนำไปสู่ความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัว (Egoism) นำไปสู่การใฝ่หาผลประโยชน์เฉพาะตน” (อ้างถึงในพรทิพา บรรทมสินธุ์, 2523, น. 17)
จากทัศนะดังกล่าว ผู้คนจึงรู้จักคาร์ล มาร์กซ์ในฐานะนักคิด นักเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจการเมืองภายใต้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แนวคิดดังกล่าวเน้นเรื่องการสลายเส้นแบ่งทางชนชั้นระหว่างกรรมกรและนายทุนเพื่อก่อเกิดความเท่าเทียมกัน ถือได้ว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นแล้วภายในสังคม สังคมที่ความยุติธรรมเกิดขึ้นแล้วนั้นมีเกณฑ์หรือมาตรฐานทางจริยศาสตร์สังคมอยู่ที่การสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพและนายทุน รวมไปถึงอำนาจทางเศรษฐกิจ อนึ่ง ตามทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์ มาตรฐานทางจริยธรรม คืออำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Force) จึงนับว่าเป็นการปฏิเสธหลักจริยธรรมที่แน่นอนตายตัว (Absolute Ethics) จริยธรรมเปลี่ยนไปตามแรงเศรษฐกิจ ดี-ชั่ว ถูก-ผิด เป็นเรื่องสมมติสัจจะ (The Relative) เปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ (Circumstances) โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ (น้อย พงษ์สนิท, 2520, น. 68)
โปรดอ่านต่อฉบับเต็มได้ในนิตยสารวิภาษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 5 ลำดับที่ 45
“แนวคิดทางจริยศาสตร์สังคมของคาร์ล มาร์กซ์” โดยชิษณุพงษ์ พิบูลย์